Archive | December 2011

ข้อมูล โรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีก

โรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีก…คุณก็เสี่ยงเหมือนกันนะ!

ใบหน้าบิดเบี้ยว…ไม่ได้เกิดขึ้นยากอย่างที่คิด ไม่ได้รุนแรงจนถึงขั้นเสียชีวิต และหากรักษาอย่างรวดเร็วก็จะหายได้ในระยะเวลาอันสั้น แต่ถ้าเห็นแค่อาการโดยไม่เข้าใจเลยก็อาจกลัวโรคนี้มาก ๆ หรืออาจไม่รู้ว่าที่เป็นอยู่น่ะคือ โรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีก หรือ Bell’s Palsy วันนี้ก็เลยต้องมาคุยกันหน่อยจะได้ไม่วิตกยังไงล่ะคะ

ใครที่ติดตามข่าวบันเทิงบ้านเราคงจะได้ยินข่าวดาราหนุ่ม โอ-อนุชิต ที่ป่วยเป็นโรคใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีกหรือ “ปลายประสาทคู่ที่ 7 อักเสบ” ซึ่งตอนแรกนั้นก็แค่รู้สึกเหมือนนอนตกหมอน หลังจากนั้นก็เริ่มควบคุมใบหน้าซีกซ้ายไม่ได้ อาการเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วภายในเวลา 24 ชั่วโมงเท่านั้น แต่หลังจากนั้นหนุ่มโอก็เข้ารับการรักษาและมีอาการดีขึ้นเรื่อยๆ แต่คุณผู้อ่านบางคนอาจจะยังมีข้อสงสัยกันบ้าง เราจึงขอมาเคลียร์กันให้เข้าใจในวันนี้

ทำไมหน้าถึงเบี้ยว

ก่อนจะเข้าใจว่า “โรคใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีก” หรือ Bell’s Palsy เกิดจากอะไร เรามาดูเส้นประสาทที่เกี่ยวข้องกันก่อน ซึ่งก็คือ CN-VII หรือเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 ที่เริ่มต้นจากก้านสมองในส่วนที่เรียกว่า Pons ก่อนจะแตกสาขาครั้งแรกในต่อมน้ำลานใต้หู แล้วแตกเป็นใยประสาทมากกว่า 7,000 สาขาซึ่งแยกไปตามใบหน้าลำคอ ต่อมน้ำลาย และหูส่วนนอก เส้นประสาท เหล่านี้จะควบคุมกล้ามเนื้อลำคอ หน้าผาก และควบคุมการแสดงสีหน้า

โรคใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีกเกิดขึ้นเนื่องจากอาการอักเสบของเส้นประสาทดังกล่าวภายใน Fallopian Canal ซึ่งแคบมากๆ การอักเสบนั้นจึงส่งแรงกดไปที่เส้นประสาท หรือถ้าตัวเส้นประสาทเกิดการอักเสบภายในท่อดังกล่าวเสียเองก็จะทำให้เกิดผลอย่างเดียวกัน จนในที่สุดหน้าที่ทั้งหมด ซึ่งเส้นประสาทคู่ที่ 7 รับผิดชอบนั้นจะซะงัก นั่นหมายความว่าถ้าเกิดอัมพฤกษ์ลามไป บริเวณที่ไม่ใช่ใบหน้า หรือใบหน้าขยับได้บางส่วน นั่นก็ไม่ใช่โรคใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีกแล้วค่ะ

คุณเองก็เสี่ยงกับโรคนี้เหมือนกัน

ใครๆ ก็อาจเป็นโรคนี้ได้ แม้ว่ามักจะเกิดในคนที่มีอายุ 15-60 ปี แต่เด็กๆ หรือคนชราก็ไม่ใช่ ข้อยกเว้นสำหรับโรคนี้ ส่วนที่พบได้มากก็คือหญิงมีครรภ์ในช่วงใกล้คลอดหรือคนที่เพิ่งคลอดบุตร ส่วนผู้ป่วยเบาหวานก็จะมีความเสี่ยงเป็นโรคนี้ มากกว่าคนทั่วไปประมาณ 4 เท่า นอกจากนี้ โรคต่างๆ ที่ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอก็จะทำให้ผู้ป่วยเสี่ยงกับโรคใบหน้าเบี้ยวได้เช่นกัน สำหรับอุบัติการณ์ของโรคพบที่ 20 คนต่อประชากร 100,000 คน โดยในสหรัฐอเมริกาพบผู้ป่วยปีละประมาณ 40,000 คน

เมื่อเป็นแล้วจะ…

หลายคนที่มีอาการเป็นครั้งแรกจะไม่รู้ว่านี่คือโรคใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีก ทีแรกอาจรู้สึกแค่ปวดหลังหู (ซึ่งเป็นอาการที่สำคัญของโรค) หรืออาจรู้สึกว่าหน้าตึงๆ ไม่สามารถหลับตาหรือขยับได้ดังใจ โดยมีลักษณะอาการที่สังเกตได้ดังนี้

•ไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อใบหน้าได้ (รวมถึงหน้าผาก)
•มักจะรู้สึกปวดหรือชาในหู ใบหน้า คอ หรือกรามข้างที่มีอาการ
•ปวดศีรษะ
•ไม่รู้รสชาติอาหาร
•ผู้ป่วย 60% จะมีการติดเชื้อจากไวรัสก่อนแสดงอาการ
•ประสาทการได้ยินอาจเปลี่ยนไป (บ่อยครั้งที่พบว่าการได้ยินจะไวมากขึ้น)
•บางกรณีที่หายยากจริงๆ ผู้ป่วยอาจมีอาการทั้งสองซีกของใบหน้า

อย่างไรก็ดี อาการของโรคใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีกอาจจะรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว ในกรณีแรกผู้ป่วยอาจพบว่าตื่นมาวันหนึ่งแล้วประสบกับอาการใบหน้าบิดเบี้ยวเลย หรือในกรณีที่สองก็จะมีอาการนำมาก่อน อย่างเช่น ตาแห้ง คันบริเวณริมฝีปาก ปวดด้านในหู แต่อาจต้องใช้เวลาหลายวันกว่าที่อาการจะปรากฏแน่ชัดว่าเป็น Bell’s Palsy จริงๆ หลังจากนั้นสามสี่วันอาการจะรุนแรงที่สุด แต่จะรุนแรงไม่เกิน 2-3 สัปดาห์ ข่าวดีก็คือโรคนี้จะไม่ทำให้ส่วนอื่นของร่างกายชาด้านหรือเป็นอัมพฤกษ์ ดังนั้น ถ้าอาการลามไปถึงส่วนอื่นๆ ด้วย คุณอาจจะต้องให้คุณหมอตรวจสอบเพิ่มเติมดีกว่า

หายได้…ด้วย “เวลา”

ผู้ป่วยโรคใบหน้าเบี้ยวประมาณ 50% จะหายจากโรคโดยเด็ดขาดภายในระยะเวลาอันสั้น และอีก 35% อาจต้องใช้เวลาประมาณหนึ่งปี เพื่อจะได้หายขาดจากโรค

ข่าวดีก็คือ Bell’s Palsy มักถูกมองว่าเป็นอาการบาดเจ็บของประสาท ซึ่งมีการรักษาตัวเองได้เพียงแต่ระยะเวลาและการฟื้นฟูก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าบาดเจ็บมากน้อยเพียงไร หากเส้นประสาทบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย การฟื้นฟูนั้นก็รวดเร็วและอาจใช้เวลาแค่ไม่กี่วันจนถึงไม่กี่สัปดาห์ แต่โดยเฉลี่ยแล้วเส้นประสาทอาจสร้างตัวเองใหม่ได้ที่ความเร็ว 1-2 มิลลิเมตรต่อวัน และอาจสร้างติดต่อกันได้ 18 เดือน หรือนานกว่านั้น อาการของโรคจึงค่อยๆ ทุเลาลงเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป

ข่าวร้ายก็คือเมื่อเป็นแล้วอาจเป็นอีกได้ แม้จะมีโอกาสน้อยก็ตาม สำหรับคนที่เคยป็นแล้ว โอกาสที่จะเป็นอีกครั้งอยู่ที่ 5-9% ในช่วง 10 ปี

Thailand’s Cure Bell’s Palsy รักษาอย่างไร?

        สำหรับวิธีการรักษานั้น Lisa ได้มาสอบถามอายุรแพทย์ระบบประสาท ประจำศูนย์สมองและระบบประสาท ร.พ.พญาไท 3 ซึ่งอธิบายว่า กรรักษาอาจมีตั้งแต่การรักษาด้วยยาลดอาการบวม ลดการอักเสบ ยาบำรุงปลายประสาท ตลอดจนการกระตุ้นไฟฟ้ากล้ามเนื้อใบหน้าในบางรายอาจมีข้อบ่งชี้เรื่องการให้ยาด้านไวรัสร่วมด้วย สำหรับการรักษาด้วยวิธีผ่าตัดนั้น มักจะเป็นกรณีที่พบน้อยและตรวจวินิจฉัยแล้วพบว่าเกิดจากสาเหตุเนื้องอกในสมอง เป็นต้น โดยมักจะมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ อาเจียน แขนขาอ่อนแรง ชา หรือลิ้นแข็ง ทั้งนี้ ก็ต้องขึ้นอยู่กับการประเมิน ซึ่งโรคนี้สามารถรักษาได้ แต่ในบางรายอาจพบร่องรอยของกล้ามเนื้อใบหน้าที่ยังขยับได้ไม่เท่ากันอยู่บ้าง

Did You Know?

โรคใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีกนั้น ถูกเรียกว่า “Bell’s Palsy” ตามชื่อ เซอร์ชาร์ลส์ เบลล์ศัลยแพทย์ชาวสกอตผู้ศึกษา เส้นประสาทคู่ที่ 7 และบทบาทของมันต่อกล้ามเนื้อใบหน้า เมื่อ 200 ปีที่แล้ว

ข้อมูล โรคผิวหนัง จากน้ำท่วม

น้ำท่วม

เตือน โรคผิวหนัง จากน้ำท่วม อันตรายถึงชีวิตหากไม่ใส่ใจ

“วิตกกับภัยพิบัติน้ำท่วมได้ แต่ต้องหันมาใส่ใจกับโรคผิวหนังที่เกิดจากน้ำท่วมด้วย เพราะไม่เช่นนั้นอันตรายอาจถึงชีวิต หากปล่อยให้แผลอักเสบจนติดเชื้อในกระแสเลือด”ถ้อยคำเตือนภัยจาก นพ.จิโรจ สินธวานนท์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ส่งตรงถึงประชาชนที่กำลังเผชิญปัญหาอุทุกภัยครั้งร้ายแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี

เป็นระยะเวลากว่า 2 เดือนแล้ว ที่หลายจังหวัดของประเทศไทยจมอยู่ใต้น้ำ นอกจากการเอาชีวิตรอด และตรวจตราดูแลทรัพย์สินไม่ให้เสียหายแล้ว สิ่งหนึ่งที่ควรคำนึงถึงไม่แพ้กันก็คือโรคผิวหนัง ภัยอันตรายที่มักมาพร้อมกับน้ำท่วมทุกคราว

“เวลาเกิดน้ำท่วม ปัญหาที่พบบ่อยมีอยู่ 2 เคส คือ ความชื้นของน้ำทำให้ผิวหนังเปื่อยยุ่ย ถ้าร่างกายต้องแช่อยู่ในน้ำเพียง 1-2 ชั่วโมงผิวหนังก็เปื่อยแล้ว และเมื่อถูกเสียดสีก็จะเกิดบาดแผลได้ง่าย เช่น ตามง่ามนิ้วเท้า ข้อพับ หรือแม้บริเวณต้นขาด้านในที่มักเสียดสีกับกางเกงเวลาเดิน และกรณีเกิดบาดแผลลึกจากการถูกของมีคมที่พัดมากับกระแสน้ำบาดผิวหนัง ซึ่งเมื่อแผลเปื่อยหรือบาดแผลลึกเกิดการติดเชื้อ ในที่นี้มีทั้งเชื้อราและเชื้อแบคทีเรียที่อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต” ผอ.สถาบันโรคผิวหนังระบุ

นพ.จิโรจกล่าวต่อว่า วิธีการรักษาในเบื้องต้นถ้าผิวหนังเปื่อยยุ่ย หรือเกิดอาการแพ้ระคายเคืองมีผื่นแดงคัน ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่า “น้ำกัดเท้า” ให้ล้างแผลด้วยน้ำสะอาดและซับให้แห้ง และซื้อยาในกลุ่มแก้แพ้มาทาน ยาแก้อักเสบมาทา อาการจะดีขึ้นในเร็ววัน แต่หากมีอาการบวมแดงบริเวณที่เกิดแผลหรือตามทางเดินของเส้นน้ำเหลือง มีหนอง และมีไข้ร่วม ให้สันนิษฐานว่าเกิดการอักเสบติดเชื้อเข้าสู่กระแสเลือด และควรรีบไปหาแพทย์เพื่อรับยาปฏิชีวนะโดยเร็ว

“ถ้าติดเชื้ออย่างเชื้อราไม่ค่อยน่ากลัวเท่าไหร่ เพราะอย่างมากแค่มีอาการคัน ผิวถลอก และตุ่มน้ำพองเกิดขึ้น แต่เชื้อพวกนี้จะไม่หายขาด เป็น ๆ หาย ๆ ถ้าป้องกันไม่ให้ติดเชื้อได้จะดีกว่า ถ้าติดเชื้อแบคทีเรียที่มีสาเหตุจากสิ่งปฏิกูล ซากพืช ซากสัตว์ เชื้อโรคจากใต้ดินชั้นลึก หรือสารเคมีอันตรายจากการเกษตรในครัวเรือน ซึ่งไม่ใช่แบคทีเรียปกติที่อยู่ตามผิวหนัง การรักษาจะทำได้ยากเพราะเป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดอันตราย บางครั้งทั้งกินและฉีดยาปฏิชีวนะ 2-3 ชนิดยังไม่หายก็มี”

“อย่างกรณีโรคเลปโตสไปโรซิสหรือโรคฉี่หนู ก็เกิดจากแบคทีเรียที่สะสมอยู่ในกระเพาะปัสสาวะของสัตว์ฟันแทะ เมื่อน้ำท่วมก็จะชะล้างฉี่ปนเปื้อนมากับน้ำ ยิ่งเป็นพื้นที่น้ำท่วมขังด้วยแล้วเชื้อโรคจะเจริญเติบโตได้ดี ผู้ที่ได้รับเชื้อพวกนี้เข้าสู่กระแสเลือดและรักษาไม่ทัน กล้ามเนื้อและพังผืดในชั้นกล้ามเนื้อของร่างกาย จะอักเสบรุนแรงเป็นอันตรายต่อชีวิต” ผอ.สถาบันโรคผิวหนังย้ำอีกครั้งถึงอันตรายจากโรคผิวหนังที่มากับน้ำท่วม

ข้อมูล โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน Stroke

โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน
โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน

ตาพร่ามัว ปวดศีรษะ แขนขาอ่อนแรง (ไทยรัฐ)
โดย :  ศูนย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาลเวชธานี

ไลฟ์สไตล์คนกรุงน่าห่วง ทำงานเร่งรีบ เครียด บริโภคอาหารฟาสต์ฟูด อ้วน ขาดการออกกำลังกาย เสี่ยงเป็น โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน ส่วนใหญ่มักมีอาการเฉียบพลัน หากถึงมือแพทย์ช้า อาจเป็นอัมพฤกษ์อัมพาต ตลอดชีวิต

โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน หรือ Stroke เกิดจากภาวะที่สมองขาดเลือดไปเลี้ยง เพราะมีการอุดตันของเส้นเลือดที่นำเลือดไปเลี้ยงสมองส่วนต่างๆ ส่งผลให้สมองขาดเลือด อยู่ในภาวะที่ทำงานไม่ได้ กลายเป็น โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน อาการเบื้องต้นที่พบบ่อยของ โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน เช่น ตาพร่ามัวมองเห็นภาพซ้อน มีอาการชาครึ่งซีก อ่อนแรงและหน้าเบี้ยว หรือมีอาการแขนขาอ่อนแรงร่วมด้วย พูดลำบาก หรือฟังไม่เข้าใจ เวียนศีรษะ การทรงตัวไม่ดี เดินเซ กลืนลำบาก ปวดศีรษะ (บางครั้งจะมีอาการปวดศีรษะรุนแรง) ซึ่งอาจจะแสดงอาการออกมาอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือมีอาการหลายอย่างพร้อมกัน ส่วนใหญ่ โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน มักเกิดในกลุ่มวัยกลางคนขึ้นไป ซึ่งเป็นช่วงวัยที่กำลังสร้างสถานะทางเศรษฐกิจและสังคม หากพบว่ามีอาการเหล่านี้ควรรีบพบแพทย์ เพื่อให้การรักษาและวินิจฉัยโดยด่วน ถ้าผู้ป่วย โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน ได้รับการรักษาและสามารถกลับคืนมาเป็นปกติใน 24 ชั่วโมง เรียกว่า TIA (Transient Ischemic Attack) หรือ Mini stroke

สาเหตุสำคัญของ โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน เกิดจากการมีไขมันไปเกาะผนังหลอดเลือดด้านในหลอดเลือดสมอง หรือมีลิ่มเลือดขนาดเล็กที่ลิ้นหัวใจและผนังหัวใจ หลุดลอยตามกระแสเลือดไปอุดตันหลอดเลือดในสมอง ซึ่งมักพบในผู้ป่วยโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจโต ลิ้นหัวใจตีบหรือรั่ว ผนังหัวใจรั่ว หรือเกิดจากการฉีกของผนังหลอดเลือดด้านใน ทำให้เส้นเลือดอุดตัน รวมถึงการแข็งตัวของเลือดที่เร็วเกินไป หรือเกล็ดเลือดมากเกินไป ล้วนเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้หลอดเลือดอุดตันได้

ผู้ที่เข้าข่ายเสี่ยงต่อการเกิด โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน ได้แก่ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคหัวใจ เช่น โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ทำให้มีลิ่มเลือดหลุดไปอุดเส้นเลือดสมอง ผู้ที่สูบบุหรี่เป็นประจำ ผู้ที่มีไขมันในเลือดสูง จะทำให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองเร็วกว่าปกติ ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์มาก ละเลยการออกกำลังกาย นอกจากนี้ฮอร์โมนบางอย่างโดยเฉพาะฮอร์โมนเพศหญิง จะทำให้หลอดเลือดดำในสมองอักเสบได้

การป้องกัน โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน ที่ควรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด

งดสูบบุหรี่

ควบคุมอาหาร อย่าให้น้ำหนักตัวเกินเกณฑ์มาตรฐาน

ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

ควบคุมระดับไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

ถ้าเป็นเบาหวาน ควรรักษาระดับน้ำตาลให้ใกล้เคียงปกติมากที่สุด

หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

ถ้าเป็นโรคความดันโลหิตสูง ควรดูแลความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

หากมีอาการผิดปกติ เช่น แขนขาอ่อนแรง ปากเบี้ยว พูดลำบาก เวียนศีรษะ มองเห็นภาพซ้อน ควรรีบพบแพทย์โดยเร็วที่สุด

ควรตรวจวินิจฉัยโรคหัวใจ เพื่อตรวจหาความเสี่ยง เพราะอาจเกิดลิ่มเลือดในหัวใจหลุดเข้าไปอุดตันในหลอดเลือดสมองได้

การจะทราบว่าผู้ป่วยที่มาพบแพทย์เป็น โรคหลอดเลือดสมอง หรือไม่ เป็นที่จุดใด มีความรุนแรงเพียงใดนั้น ควรทำการตรวจโดยเครื่องมือทางการแพทย์ ที่ให้ผลละเอียดและมีความแม่นยำสูง เพื่อประกอบการวินิจฉัยของแพทย์ ซึ่งมีหลายวิธี อาทิ การตรวจสมองด้วยคอมพิวเตอร์ (CT Scan) การตรวจด้วยคลื่นสนามแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI และ MRA) การตรวจการไหลเวียนเลือดของหลอดเลือดในสมอง (Transcranial Doppler : TCD) และการตรวจหลอดเลือดคอ เป็นต้น ซึ่งผลที่ได้มีความละเอียดแม่นยำมากพอ ที่จะช่วยทำให้แพทย์วางแผนการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การรักษา โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน

สิ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญช่วยให้เกิดความสำเร็จในการรักษา โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน คือ การทำให้เซลล์ของสมองยังอยู่รอดให้ได้นานที่สุด ถ้าเราสามารถทำให้เลือดไหลเวียนได้ทันเวลาและในระดับที่เพียงพอ ก็สามารถทำให้เนื้อสมองบริเวณนั้นฟื้นตัวได้เร็ว ส่งผลให้ผู้ป่วยกลับมาเป็นปกติได้ ซึ่งการรักษานี้จะต้องทำภายใน 3 ชั่วโมง เพื่อให้ยาละลายลิ่มเลือด (Thrombolysis) การให้ยานี้ผู้ป่วยควรอยู่ในความดูแลของผู้เชี่ยวชาญด้านสมองเท่านั้น หลังจากให้ยาแล้วผู้ป่วย โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน ควรอยู่ในโรงพยาบาล 2-3 วัน เพื่อดูอาการต่อไป หากเกิน 3 ชั่วโมงแล้ว ผู้ป่วยควรได้รับการรักษาในหอผู้ป่วย โรคหลอดเลือดสมอง เพื่อทำการรักษาด้วยวิธีการที่เหมาะสมต่อผู้ป่วยมากที่สุด เช่น

รักษาโดยการให้ยาบางประเภท เพื่อให้เซลล์สมองเสียน้อยที่สุด โดยระยะแรกๆ ควรจะดูแลผู้ป่วย โรคหลอดเลือดสมองตีบตัน อย่างใกล้ชิด เพื่อสังเกตอาการแทรกซ้อน บำบัดรักษาโรคอื่นๆ ของผู้ป่วย เช่น โรคเบาหวาน ความดันสูง โรคไต ปอดบวม กลืนลำบาก เป็นต้น

ใช้กายภาพบำบัดในรายที่เป็นอัมพาต ไม่ว่าจะเป็นการฝึกนั่ง ยืน เดิน การฝึกกลืน ฯลฯ

ในรายที่ซึมเศร้า เป็นปัญหาที่พบบ่อยในผู้ป่วยที่เป็นโรคอัมพาต มักจะให้การรักษาโดยใช้จิตบำบัดร่วมด้วย

ผู้ป่วยควรได้รับการฟื้นฟูมากที่สุด เพื่อให้ช่วยเหลือตัวเองหรือเป็นอิสระมากที่สุด ผู้ป่วยบางรายช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ทีมแพทย์และพยาบาล ควรจะมีการติดตามอาการผู้ป่วยขณะบำบัดที่บ้านด้วย

กลอน กราบพ่อ

พนมมือกราบแนบ…แทบเท้าพ่อ
ผู้สร้าง-ก่อกำเนิด เกิดสังขาร
จากว่างเปล่า มีชีวิต จิตวิญญาณ
มีเลือดเนื้อ ดุจปั้น รังสรรค์มา

นึกถึงภาพวันเก่า…คราวยังเล็ก
พ่ออุ้มเด็กตัวน้อยนั่งข้างบนบ่า
พลางปลอบ…เจ้าอย่าหวั่นเลยขวัญตา
สองมือใหญ่นี้หนา…จะประคอง

หากมือแม่เป็นผ้าอุ่นละมุนนัก
มือพ่อจักเป็นเกราะคลุมคุ้มภัยผอง
หากลูกล้ม…เหนื่อยล้า…น้ำตานอง
พ่อทั้งป้อง…ปลุกให้ลุกบุกบั่นไป
อาจไม่เคยเอ่ยปาก “ พ่อรักลูก ”
แต่พันผูกเกลียวรักมั่นไม่หวั่นไหว
แววตาพ่ออาจไม่หวานซ่านฤทัย
แต่แววตานี้ห่วงใย…ไม่เว้นวัน

แม้หลอมรวมสามภพจบทั่วหล้า
อีกนภามหาสมุทรสุดเขตขันธ์
หรือจักรวาลที่วัดว่าค่าเป็นอนันต์
จะเทียมทันเทียบพ่อได้…นั้นไม่มี

“ พ่อ ” คือ “ พรหม ” คือ “ พระ ” คุ้มอุ้มชีวิต
ลูกน้อมจิตกราบประนมก้มเกศี
เรียงอักษรเป็นกลอน…ร้อยแทนถ้อยวจี
ว่าลูกนี้ “ รักพ่อ ” ขอบูชา

ประวัติ วันสังคมสงเคราะห์แห่งชาติ (21 ตุลาคม)

วันสังคมสงเคราะห์แห่งชาติ
21 ตุลาคม ของทุกปี

การสังคมสงเคราะห์คือการช่วยเหลือเกื้อกูลกันให้ทุกคนอยู่ใน สังคมไทยได้อย่างมีความสุขและให้ทุกคนมีความสามารถ รวมถึงพัฒนาสังคมให้มีความเจริญก้าวหน้าด้วย

การสังคมสงเคราะห์

การสังคมสงเคราะห์มีในประเทศไทยเป็นเวลานานมาแล้ว สมัยก่อนนี้ “วัด” เป็นศูนย์กลางของการสังคมสงเคราะห์ ปัจจุบันนี้มีทั้งภาครัฐบาล และภาคเอกชน ทางฝ่ายรัฐนั้นมีหน่วยงานที่ร่วมรับผิดชอบเกี่ยวกับความผาสุกของประชาชนชาว ไทย คือ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงศึกษาธิการ และกระทรวงสาธารณสุข โดยมีกรมประชาสงเคราะห์ แห่งกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้ดำเนินงานและรับผิดชอบโดยตรง

ส่วนภาคเอกชนนั้นกระทำการสังคมสงเคราะห์โดยการจัดตั้งเป็น สมาคมและมูลนิธิเพื่อการกุศล ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นองค์การที่ตั้งขึ้นโดยประชาชน เป็นของประชาชนและทำงานเพื่อประชาชนโดยแท้ ในปัจจุบันนี้มีจำนวน ประมาณ 10,000 องค์การ ที่ช่วยรัฐและหน่วยงานของรัฐให้บริการสังคม- สงเคราะห์ ซึ่งให้สวัสดิการทางสังคมแก่ประชาชนเพื่อให้สังคมพัฒนาไปสู่ความเจริญก้าว หน้าตามเป้าหมายที่ต้องการได้

พระราชดำริ

สมาคมและมูลนิธิหลายองค์การได้จัดตั้งขึ้นตามพระราชดำริ หรือได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้อยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาคมและมูลนิธิเหล่านี้ได้ทำงานที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนและประเทศชาติ เป็นเอนกประการ ทั้งในการสงเคราะห์ผู้ประสบปัญหาความทุกข์ยากเดือดร้อน ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาสังคม รวมทั้งการพัฒนาสังคมด้านต่างๆ เช่น มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ในพระบรมราชูปถัมภ์ สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และมูลนิธิอานันทมหิดล เป็นต้น

องค์การเพื่อการสังคมสงเคราะห์

มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ และสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยฯ เป็นองค์การที่ทำงานเพื่อการสังคมสงเคราะห์โดยแท้ มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ หมายถึงมูลนิธิที่พระมหากษัตริย์และประชาชนร่วมกันจัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยผู้ ที่ประสบสาธารณภัยทั่วประเทศ มูลนิธินี้ถือกำเนิดขึ้นเนื่องมาจากการเกิดวาตภัยและอุทกภัยขึ้นในจังหวัด ภาคใต้เมื่อ พ.ศ. 2505 ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงนำประชาชนให้ช่วยเหลือพี่น้องร่วมชาติ ผู้ ประสบเคราะห์กรรมเหล่านั้น ได้รับการบริจาคเฉพาะเงินสดถึง 11 ล้านบาท หลังจากที่พระราชทานช่วยเหลือผู้ประสบภัยเหล่านั้นแล้ว ยังเหลือเงินอยู่อีกถึง 3 ล้านบาท จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานให้จัดตั้งเป็น มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ขึ้น

สภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทยฯ นั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานเงินจำนวนหนึ่งล้านบาทเป็นทุนริ เริ่มการสร้างตึกทำงานของสภาสังคมสงเคราะห์ฯ และได้พระราชทานนามตึกนี้ว่า “ตึกมหิดล” เพื่อเทิดทูนพระเกียรติคุณในด้านสังคมสงเคราะห์ของสมเด็จพระบรมราชชนก โครงการที่สำคัญที่สุดของสภาสังคมสงเคราะห์ฯ คืออุดมการณ์ที่รัฐรับเป็นอุดมการณ์ของชาติ คือ “โครงการแผ่นดินธรรม แผ่นดินทอง” ซึ่งมีที่มาจากพระบรมราชปณิธานในพระปฐมบรมราชโองการที่ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” โดยพระราชดำรัสที่ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม” เป็นที่มาแห่ง “แผ่นดินธรรม” ส่วนพระราชดำรัสที่ว่า “เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม” เป็นที่มาแห่ง “แผ่นดินทอง”

วันสังคมสงเคราะห์

ใน พ.ศ. 2528 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนางาน สังคมสงเคราะห์แห่งชาติ ให้กำหนดวันที่ 21 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จย่า เป็นวันสังคมสงเคราะห์แห่งชาติ ด้วยเหตุผลที่ว่าพระองค์ทรงอุทิศพระวรกายและเวลา เพื่อประโยชน์ให้บังเกิดแก่ประชาชนตลอดมา โดยมิได้ทรงเห็นแก่ความเหนื่อยยาก สมควรเป็นปูชนียบุคคลที่นักสังคมสงเคราะห์ควรถือเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติ งานของตนต่อไป ดังนั้นในวันที่ 21 ตุลาคมของทุกปี ภาครัฐบาลและภาคเอกชนจึงได้ร่วมกันจัดงานแสดงกิจกรรมต่างๆ เกี่ยวกับการสังคมสงเคราะห์ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อพสกนิกรทุกหมู่เหล่าโดยไม่ เลือกเชื้อชาติศาสนา

การประกันสังคม

มีการสังคมสงเคราะห์อีกประเภทหนึ่งคือการประกันสังคม หรือการสร้างความมั่นคงในสังคมร่วมกัน แม้ประเทศไทยจะมีกฎหมายประกันสังคมแล้วตั้งแต่ พ.ศ. 2497 แต่ไม่สามารถบังคับใช้ได้เพราะมีปัญหาเรื่องนโยบาย อย่างไรก็ตามได้มีประกาศใช้กฎหมายแรงงาน เมื่อ พ.ศ. 2515 โดยกำหนดให้มีการจัดตั้งสำนักงานกองทุนเงินทดแทนในกรมแรงงาน ให้ทำหน้าที่เรียกเก็บเงินสมทบจากนายจ้างและสถานประกอบการที่มีลูกจ้าง 20 คนขึ้นไป เพื่อนำมาจ่ายเป็นค่าทดแทนแก่ลูกจ้างซึ่งประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยเนื่องจาก การทำงานให้นายจ้าง ทำให้ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของลูกจ้างในระหว่างที่เจ็บป่วยต้องหยุดงาน และในกรณีทุพพลภาพก็สามารถมีรายได้ไปใช้ สอยเลี้ยงดูครอบครัว

ประวัติ วันวิทยุกระจายเสียงแห่งชาติ (25 กุมภาพันธ์)

วันวิทยุกระจายเสียงแห่งชาติ
ทุกวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ของทุกปี

กิจการวิทยุกระจายเสียงในประเทศไทยมีมาตั้งแต่ พ.ศ.2470 ด้วยพระดำริของ พลเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน เสนาบดีกระทรวงพาณิชย์และโทรคมนาคม พระองค์ทรงดำริตั้งสถานีวิทยุกระจายเสียงขึ้น เมื่อพ.ศ.2471 โดยสั่งเครื่องส่งกระจายเสียงคลื่นสั้นเข้ามาทดลอง และให้อยู่ในความควบคุมของช่างวิทยุ กรมไปรษณีย์โทรเลข ตั้งสถานีที่ตึกที่ทำการไปรษณีย์ปากคลองโอ่งอ่าง ตำบลวัดราชบูรณะเป็นครั้งแรก ใช้ชื่อสถานีว่า “4 พีเจ” ต่อมาได้มีการประกอบเครื่องส่งคลื่นขนาดกลาง 1 กิโลวัตต์ ขึ้น ทำการทดลองที่ตำบลศาลาแดงใช้ชื่อสถานีว่า “11 พีเจ” ซึ่งการใช้ชื่อสถานีว่า “พีเจ” ในยุคนั้น ย่อมาจากคำว่า “บุรฉัตรไชยากร” อันเป็นพระนามเดิมของพระองค์ท่นั่นเอง

หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2473 ซึ่งตรงกับวันพระราชพิธีฉัตรมงคล ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พลเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ทรงเปิดการส่งวิทยุเป็นปฐมฤกษ์ โดยใช้ชื่อสถานีว่า สถานีวิทยุกรุงเทพฯ ที่พญาไท ตั้งอยู่ที่วังพญาไท มีกำลังส่ง 2.5 กิโลวัตต์ พิธีเปิดสถานีกระทำโดยอัญเชิญกระแสพระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จากพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย เข้าไมโครโฟนถ่ายทอดไปตามสาย เข้าเครื่องส่งแล้วกระจายเสียงสู่พสกนิกร นับเป็นครั้งแรกที่มีการถ่ายทอดเสียงทางวิทยุในประเทศไทย

วิทยุกระจายเสียงเป็นกลไกหนึ่งที่สำคัญในกระบวนการสื่อสาร และมีบทบาทสำคัญในการเผยแพร่ข่าวสาร วิชาการ และเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่สามารถเข้าถึงประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคุลมได้กว้างไกลและทั่วทุกพื้นที่ เพื่อพัฒนาความเป็นอยู่ของประชาชนมาโดยตลอดตราบจนปัจจุบัน

จากวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2473 จนถึงปัจจุบัน วิทยุกระจายเสียงมีบทบาทในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และความมั่นคงมาตามลำดับ ดังนั้นหากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมีเป้าหมายร่วมกัน คือประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญแล้ว กิจการวิทยุกระจายเสียงจะเจริญก้าวหน้า เพิ่มพูนคุณประโยชน์และสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามให้สังคมไทยได้ตลอดไป

ข้อมููลประวัติ รัสปูติน

ในสมัยของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ( ร่วมสมัยกับรัชกาลที่ 5 ของไทย ) รัสเซียประสบปัญหาความยุ่งยากเป็นอันมาก เพราะต้องเข้าสู่สงครามถึงสองครั้ง ครั้งแรกเป็นสงครามกับคนเอเชีย คือ คนญี่ปุ่น ผลของสงครามครั้งนั้นทำให้พระราชอำนาจของพระองค์เสื่อมถอยลง เพราะรัสเซียพ่ายแพ้สงครามแก่ญี่ปุ่น พอถึงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งซึ่งรัสเซียเข้าเกี่ยวข้องด้วยนั้น ก็มีผลกระทบกระเทือนมาถึงราชบัลลังก์ของพระองค์ด้วยเหมือนกัน เพราะความพ่ายแพ้ในสนามรบทำให้ประชาชนซึ่งมีเรื่องเดือดร้อนเสื่อมความนิยมในรัฐบาลของพระองค์ ทั้งนี้เนื่องจากขาดแคลนอาหารและภาวะเงินเฟ้อ จนกระทั่งนำไปสู่การปฏิวัติของพวกบอลเชวิกเป็นระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ และการสำเร็จโทษกษัตริย์รัสเซียและราชวงศ์ที่ใกล้ชิดทั้งหมด ( จนเป็นปมปัญหาที่ถกเถียงกันในทางประวัติศาสตร์ว่าพระโอรส พระธิดาของพระเจ้า
ซาร์นิโคลัสที่ 2 สิ้นพระชนม์ทั้งหมดจริงหรือไม่ ถ้าจริงแล้วพระอัฐิศพอยู่ที่ใด เพราะมีผู้มาอ้างตัวเป็นพระนางอนาสตาเซีย พระธิดา และคนอื่นๆอีกหลายคน – จะนำมาเล่าให้ฟังในโอกาสต่อไป )

ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนที่รัสเซียจะเข้าพัวพันกับสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ราชวงศ์โรมานอฟยังมีเรื่องวุ่นวายเสื่อมเสีย เพราะอลัชชีผู้หนึ่ง นามว่า “รัสปูติน” ซึ่งมีเรื่องราวดังต่อไปนี้

กริกอริ รัสปูติน เกิดเมื่อ พ.ศ. 2374 ( สมัยรัชกาลที่ 3 ของไทย ) เกิดในครอบครัวเกษตรกรบ้านนอกของไซบีเรีย โดยเป็นบุตรคนที่สามของอีฟิม อากอฟเลวิช และแอนนา อีกอรอฟน่า ซึ่งอาศัยในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของเมืองโปดรอฟสโกยี ( สันนิษฐานว่า ครอบครัวนี้อาจเป็นพวกมองโกลจากเมืองโตบอลสก์ ) ในตอนเป็นหนุ่ม รัสปูตินมีความกระหายที่จะเป็นแบบเกษตรกรผู้ที่ทำงาน ดื่มเหล้าหนัก และเสเพลเรื่องผู้หญิง ขนาดอวัยวะเพศอันผิดมนุษย์มนาของเขาเป็นที่ชื่นชอบขอเด็กสาวๆ ในหมู่บ้าน ซึ่งมาดูเขาเปลือยกายว่ายน้ำในสระเช่นเดียวกับพวกเธอ ( บางตำราที่กล่าวถึงรัสปูติน อ้างว่า รัสปูตินมีอวัยวะเพศยาวถึง 13 นิ้ว !!! ) วันหนึ่ง ไอริน่า แดนิลอฟว่า คูบาชอฟว่าภรรยาสาวสวยของนายพลรัสเซียร่วมกับสาวใช้ 6 คน ร่วมกันล่อลวงเด็กหนุ่มรัสปูตินอายุ 16 ปีไปเสียตัว หลังจากเหตุการณ์ครานั้นแล้ว รัสปูตินจึงเริ่มเที่ยวโสเภณีในหมู่บ้านเกิดของเขา

เมื่อถึงอายุ 20 ปี รัสปูตินแต่งงานกับเด็กสาวในท้องถิ่นเดียวกัน ชื่อ ปราสโกเวีย เฟโอ โดรอฟน่า ดูโบรวิน่า และเป็นพ่อของเด็กสี่คน สามคนมีชีวิตอยู่จนเป็นผู้ใหญ่ แม้ว่าจะแต่งงานแล้ว เขาก็ยังเที่ยวโสเภณีอยู่

จากการได้ร่วมสนุกทางกามารมณ์กับเด็กสาวนาไซบีเรียสามคน ซึ่งเขามีโอกาสพบขณะไปว่ายน้ำเล่นที่ทะเลสาบนั้นเอง ได้ชักจูงให้รัสปูตินรู้ถึงความหลายหลากในศาสนา ในราว พ.ศ. 2443 เขาก็ได้ร่วมกับนิกายนอกรีตนอกรอยที่เรียกว่า นิกายคลิสติ กลุ่มศาสนิกชนผู้ยึดถือในนิกายนี้เชื่อว่ามนุษย์มีบาปมาแต่เริ่มแรก จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องไถ่บาปในเวลาต่อมา ดังนั้น พวกเขาจึงประกอบพิธีอันพิลึกพิลั่นหลายอย่างเกี่ยวกับความวิตถารในทางกามารมณ์และการบูชายัญ ผู้คนในบ้านเกิดของรัสปูตินไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมเหล่านี้ จึงขับไล่
รัสปูตินให้ต้องเร่ร่อนไปทั่วชนบทของรัสเซีย เพื่อประกอบการเยียวยารักษาโรค และชักชวนผู้หญิงในแดนเถื่อนให้เข้าร่วมพิธีกรรมอันวิตถารพิธีกรรมเหล่านี้ประกอบด้วยการดื่มเหล้า การร้องเพลง การเต้นรำอย่างบ้าคลั่ง และก็ทำกิจกรรมอย่างว่าเป็นหมู่คณะ ( สวิงกิ้งนั่นเอง ) ในทุกๆ แห่งที่สะดวกไม่ว่าจะเป็นป่า ( โปรดนึกภาพตามว่าสภาพจะเป็นอย่างไร ) ยุ้งข้าว หรือกระท่อมของสาวกคนใดคนหนึ่ง หลักนิยมของ
รัสปูตินในการไถ่บาปผ่านการปลดปล่อยทางกามารมณ์นั้น ทำให้สตรีมากมายที่ศรัทธาในนิกายนี้ต้องบำเรอความสุขให้เขาเสียก่อนเป็นขั้นแรก แม้ว่ารูปโฉมของ “ นักบุญจอมราคะ ” แสนจะสกปรกเลอะเทอะ โรเบิร์ต แมสซี่ นักเขียนอัตชีวประวัติจึงบันทึกไว้ว่า “ การร่วมเพศกับคนบ้านนอกที่ไม่ได้อาบน้ำ หนวดเคราและมือสกปรก ได้ก่อให้เกิดความรู้สึกเสียวซ่านอย่างใหม่ขึ้น ”

ในปี พ.ศ. 2448 รัสปูตินได้เข้ามาตั้งมั่นอยู่ในเมืองเซนต์ปีเตอร์เบอร์ก ( เมืองหลวงในขณะนั้น ) รัสปูตินได้บรรเทาอาการโรคโลหิตไหลไม่หยุด ( ฮีโมฟีเลีย ) ของเจ้าชายอเล็กซิสได้ เป็นที่ชื่นชมของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 และซารีน่า อเล็กซานดร้า ผู้เป็นพระราชมารดาเป็นอันมาก รัสปูตินจึงอาศัยอิทธิพลของซารีน่าแผ่อิทธิพลและสร้างเรื่องอื้อฉาวทางกามารมณ์จนเป็นที่กล่าวขวัญในเมืองหลวง มีสตรีสมัยใหม่จำนวนมากมายในนครหลวงที่ตกเป็นทาสกามของรัสปูตินอย่างเต็มใจ บางครั้งสามีของสตรีเหล่านี้กลับเอาไปคุยโวโอ้อวดว่าภรรยาของตน “ เป็นสมบัติของรัสปูติน ผู้มีความสามารถอย่างเหลือเชื่อ ”

เขาจัดตั้งสำนักขึ้นในที่พักแบบห้องชุดของเขา และบรรดาสุภาพสตรีก็จะชุมนุมกันอยู่ที่โต๊ะในห้องอาหารเพื่อรอการเชิญเข้าไปในห้องนอนซึ่งเขาเรียกเอาเองว่า “ ห้องศักดิ์สิทธิอันเป็นที่หวงห้าม ” ตามธรรมดาแล้วรัสปูตินจะอยู่ในห้องอาหาร แวดล้อมไปด้วย “ สานุศิษย์ ” ที่น่ารักน่าใคร่ บางครั้งคนใดคนหนึ่งในพวกเหล่านี้จะขึ้นไปอยู่บนตักของเขาและเขาจะลูบไล้เส้นผมของเธอ พลางกระซิบแผ่วๆ ถึงความเป็นคนถือสากปากถือศีล และความลึกลับของการกลับฟื้นคืนมาใหม่ ต่อจากนั้นเขาก็จะตั้งต้นร้องเพลง ในตอนท้ายสุภาพสตรีก็จะร่วมร้องเพลงด้วย ในไม่ช้าการร้องเพลงก็จะแปรเปลี่ยนอย่างฉับพลันไปสู่การเต้นรำอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งก่อให้เกิดตัณหาหน้ามืดและต้องเข้าไปใน “ ห้องศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่หวงห้าม ” ในการชุมนุมครั้งหนึ่งที่กรุงเซนต์ปีเตอร์-เบอร์ก รัสปูตินได้โพล่งพรรณนาราวกับตาเห็นถึงการสมสู่ของม้า แล้วเขาก็คว้าสตรีผู้มีชื่อเสียงซึ่งเป็นแขกรับเชิญคนหนึ่งเข้าเต็มแรง และกล่าวว่า “ มาเถอะ นางฟ้าที่รักของฉัน ”

คนที่เต็มใจเป็นคู่ขาในทางกามารมณ์ของรัสปูตินมีอยู่หลายคน แต่มักจะไม่ปรากฏนามอย่างเปิดเผย ส่วนใหญ่เป็นชนชั้นสูงหรือผู้มีชื่อเสียง เช่น นักแสดงหญิง ภรรยาทหาร และเมื่อไม่มีใครอื่นที่จะใช้ระงับตัณหาราคะอันมหาศาลของเขาได้แล้วละก็ สาวใช้ในโรงแรมหรือโสเภณีก็ได้ สุภาพสตรีที่มีชื่อเสียงที่สุดของรัสปูติน คือ องค์ซารีน่า นั่นเอง สำหรับองค์ซารีน่าแม้จะไม่ถึงกับตกเป็นทาสสวาท แต่ก็มีลายพระหัตถ์อันเพราะพริ้งถึงรัสปูตินให้คำมั่นว่าจะ “…จูบมือของพระคุณเจ้าและแนบศีรษะของลูกกับไหล่อันศักดิ์สิทธิ์ของพระคุณเจ้า…” ผู้หญิงซึ่งรัสปูตินผู้อดทนมากที่สุดคือ ภรรยาของเขาเอง ปราสโกเวีย ซึ่งต้องทนทุกข์ทรมานกับการนอกใจของเขามาชั่วชีวิตโดยไม่ปริปากบ่น หล่อนเพียงแต่ยักไหล่และพูดอย่างใจกว้างว่า “ เขามีเพียงพอสำหรับคนทั้งหมด ”

ในปีพ.ศ. 2457 พวกชนชั้นสูงที่มีความคิดแบบจารีตนิยมได้ร่วมมือกันลอบฆ่ารัสปูติน คนที่ลอบฆ่าได้เชิญรัสปูตินมาเลี้ยงอาหารในตอนเที่ยงคืน และได้ใส่ยาพิษลงในขนมเค้กและเหล้าองุ่น เมื่อรัสปูตินมีอาการงุนงงมากขึ้นทุกทีเพราะกินยาพิษเข้าไป เจ้าชายเฟล็กซ์ ยูสซูปอฟ ( เป็นเกย์ ) หนึ่งในฆาตกรก็ฉวยโอกาสนั้นหาประโยชน์ทางกามารมณ์ที่ตนชอบนั้นทันที แล้วยิงซ้ำ 4 นัด รัสปูตินล้มลงแต่ยังไม่ตาย ฆาตกรอีกคนหนึ่งจึงใช้มีดเฉือนอวัยวะเพศของรัสปูติน แล้วโยนไปอีกด้านหนึ่งของห้อง หลังจากนั้นจึงมีการทุบตีรัสปูตินซ้ำลงไป แล้วจับมัดแล้วโยนลงแม่น้ำเนวาอันเยือกเย็น ทำให้รัสปูตินจมน้ำตายไปในที่สุด

สำหรับอวัยวะเพศของรัสปูตินที่ถูกโยนไปนั้น มีเรื่องเล่ากันว่า มีคนรับใช้ผู้ชายได้เก็บ “ สิ่งที่ถูกเหวี่ยงทิ้ง ” ไปให้แก่สาวใช้คนหนึ่ง และปรากฏว่าได้พบตัวสาวใช้ผู้นั้นที่ปารีสในปี พ.ศ. 2511 หล่อนยังเก็บรักษา “ สิ่งที่ดูคล้ายกล้วยหอมซึ่งงอมจัดจนดำไปหมด ” ไว้ในหีบไม้ขัดมันและนี่ก็คือตำนานของ “ รัสปูติน ”

 

ข้อมูลประวัติ สาคร ยังเขียวสด

ครูสาคร ยังเขียวสด ศิลปินแห่งชาติสาขา ศิลปะการแสดง ( ละครเล็ก ) ประจำปี พ . ศ . 2539

          ครูสาคร ยังเขียวสด  เป็นผู้มีความสามารถในการแสดงนาฎศิลป์ ทั้งโขน ละคร ลิเก โดยเฉพาะการเชิดหุ่นละครเล็ก ที่สืบทอดมาจากครูแกร ศัพทวนิช ผู้ให้กำเนิดหุ่นละครเล็ก ทำให้หุ่นละครเล็กกลับคืนมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่สูญหายไปราว ๕๐ ปี โดยใช้ชื่อคณะว่า “หุ่นละครเล็ก” คณะสาครนาฎศิลป์ ละครเล็กหลานครูแกร”

          นอกจากจะเป็นผู้อนุรักษ์หุ่นละครเล็กแล้ว ท่านยังได้ริเริ่มรังสรรค์พัฒนาให้หุ่นเคลื่อนไหวได้มากขึ้นคล้ายคนจริง ปรับแก้รูปทรงสัดส่วนและเครื่องแต่งกายของหุ่นให้งดงามยิ่งขึ้น ประกอบกับใช้ศิลปะการเชิดที่ใช้คน ๓ คน ต่อหุ่น ๑ ตัว ทำให้หุ่นละครเล็กเป็นที่ชื่นชอบและรู้จักแพร่หลายทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ ครูสาคร ยังเขียวสด ได้ถ่ายทอดการเชิดหุ่นละครเล็กให้แก่ลูกหลานทุกคนด้วยความวิริยะอุตสาหะ มุ่งมั่นที่จะรักษาศิลปะการแสดงหุ่นละครเล็กไว้ให้คงอยู่ เป็นสมบัติวัฒนธรรมที่งดงามของชาติสืบไป

ประวัติครูสาคร ยังเขียวสด

          ครูสาคร ยังเขียวสด เกิด เมื่อวันจันทร์ เดือนสาม ปีจอ  พ.ศ. 2464  ในเรือละคร ขณะที่บิดามารดาเดินทางไปแสดงละครเล็กของคณะครูแกร ศัพทวนิช ที่วัดปากคลองบางตะไคร้ (ไม่ปรากฎแน่ชัดว่าเป็นที่ใด)  จังหวัดนนทบุรี คุณย่าหลั่งภรรยาพ่อครูแกรตั้งชื่อให้ว่า ” สาคร ” เพราะขณะนั้นหุ่นละครเล็กพ่อครูแกรกำลังแสดงเรื่องพระอภัยมณีคุณย่าปลั่ง จึงนำชื่อ  ” สุดสาคร ” ตัวละครในเรื่องพระอภัยมณีมาตั้งเป็นชื่อให้ 

          ครูสาคร ยังเขียวสด มีชื่อเล่นเมื่อครั้งยังเด็ก ว่า ” หลิว ” แต่ครั้นโตขึ้นได้เข้าสู่วงการแสดง ได้เป็นเจ้าของคณะลิเก และชอบแสดง เป็นตัวตลกประจำคณะ จึงมีผู้เรียกชื่อเล่นเพี้ยนจากหลิวเป็น หลุยส์ และภายหลังมีผู้เติมสมญานามว่า โจ ให้อีก จึงกลายเป็น โจหลยส์ ซึ่ง เป็นชื่อที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในวงการแสดง และปัจจุบันได้นำชื่อ โจหลุยส์ มาตั้งเป็นชื่อของโรงละครโดยใช้ชื่อว่า ” โจหลุยส์เธีย เตอร์ ” 

          ครูสาคร ยังเขียวสด มีบิดาชื่อ นายคุ่ย ยังเขียวสด มารดาชื่อนางเชื่อม ยังเขียวสด นายสาคร เรียนสำเร็จ การศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จากโรงเรียนวัดประชาระบือธรรม สมรสกับนางสมศรี   มีบุตรด้วยกัน 1 คน แต่เสียชีวิตตั้งแต่วัยเยาว์  ต่อมาได้สมรสกับนางสมพงษ์ มีบุตรธิดาด้วยกัน 9 คน เป็นชาย 7 คน หญิง 2 คน

           ครูสาคร ได้รับตัวหุ่นจากครอบครัวของ พ่อครูแกร ศัพทวนิช 30 ตัว จึงเป็นหุ่นละครเล็กเพียงแห่งเดียวที่เหลืออยู่ในประเทศไทย เพราะได้สูญหายไปกว่า 50 ปีแล้ว จัดแสดงหุ่นละครเล็กในเทศกาลเที่ยวเมืองไทยปีพ.ศ. 2528 โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสนับสนุน ได้ทำพิธีบูชาพ่อครูแก ขออนุญาตจัดทำหุ่นเพิ่มเติม ได้แสดง ณ สวนอัมพรหน้าพระที่นั่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เมื่อปีพ.ศ. 2530

          ครูสาคร ตั้งชื่อคณะว่า “หุ่นละครเล็กคณะสาครนาฏศิลป์ละครเล็กหลานครูแกร” เป็นที่ชื่นชอบของผู้ชมมาก เพราะมีลักษณะพิเศษที่ตัวหุ่นเคลื่อนไหวได้ทุกส่วนคล้ายคนจริง เครื่องแต่งกายก็สวยงามแบบโขนละครจริง ศิลปะการเชิดก็แตกต่างจากการเชิดหุ่นกระบอกที่คุ้นเคย ยิ่งมีการพัฒนาให้หันหน้าได้ทุกตัว มีรูปทรงสัดส่วนสวยมาก เพิ่มเครื่องประดับมากขึ้น มีความประณีตในการแสดงมากขึ้น ทำให้หุ่นมีท่าทาง การเจรจาเหมือนคนจริง มีการเชิดหน้าโรง ให้เห็นลีลาท่าเต้นของผู้เล่นหุ่นทั้งสามคน มีการสาธิตวิธีการเชิดก่อนการแสดง อีกทั้งครูโจ หลุยส์ยังได้ดัดแปลงให้แสดงเรื่องรามเกียรติ์โดยสมบูรณ์ มีตัวละครสง่างามตามเรื่องสนุก ทำให้การแสดงหุ่นละครแบบดั้งเดิมที่เคยจัดแสดงเพียงเล็กน้อยเฉพาะตอนเปิดเรื่องเพื่อเป็นการแสดง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องพระอภัยมณี ยิ่งทำให้ศิลปะการแสดงหุ่นละครเล็กโดดเด่นมีความสำคัญเต็มรูปแบบสมบูรณ์ จนได้รับการเชิดชูจากสถาบันต่างๆ ได้เป็นตัวแทนประเทศไทยไปเผยแพร่ศิลปะการแสดงหุ่นละครเล็กในประเทศต่างๆ  ครูโจ หลุยส์ คือผู้ฟื้นฟูศิลปะการแสดง หุ่นละครเล็ก สืบทอดมรดกของชาติ ท่านจึงได้รับประกาศเกียรติคุณเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง (ละครเล็ก) ประจำปีพุทธศักราช 2539 

           หุ่นละครเล็กโจ หลุยส์ ได้ชื่อว่าเป็นหุ่นละครเล็กเพียงแห่งเดียวที่เหลืออยู่ในเมืองไทย ได้เปิดโรงละครขึ้นที่จังหวัดนนทบุรีเมื่อปี พ.ศ. 2542 สร้างหุ่นขึ้นมาอย่างมีศิลปะล้ำค่า ต่อมาบ้านถูกไฟไหม้ หุ่นละครที่มีอยู่ 50 ตัว ถูกเผาเกลี้ยง ปีพ.ศ. 2544 ได้รับการสนับสนุนจากผู้ใจบุญทั้งในและนอกประเทศ อุปถัมภ์การสร้างหุ่นละครเล็กขึ้นใหม่สามารถเปิดการแสดงได้ที่สวนลุมพินีไนต์บาซาร์ รวมทั้งจัดนิทรรศการว่าด้วยประวัติความเป็นมา การประดิษฐ์หุ่นละครตามเนื้อเรื่องรามเกียรติ์ที่ได้มาจากรามายณของอินเดีย

           ครูสาคร ยังเขียวสด เสียชีวิตเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2550 ด้วยอาการน้ำท่วมปอด สิริรวมอายุได้ 83 ปี

ข้อมูลประวัติ ปู่เย็น

 นายเย็น แก้วมณี หรือ ปู่เย็น เป็นชาวเพชรบุรี นับถือศาสนาอิสลาม บิดาชื่อนายสุข แก้วมะณี มารดาชื่อนางชม แก้วมะณี อาศัยอยู่ตามทะเบียนราษฎร์ เลขที่ 274/4 ถนนมาตยาวงศ์ ต.ท่าราบ อ.เมือง จ.เพชรบุรี เดิมประกอบอาชีพรับจ้างเลี้ยววัว มีภรรยาชื่อนางเอิบ แก้วมะณี เสียชีวิตเมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2536 จากนั้นก็ใช้ชีวิตอยู่ในเรือมาตลอด เลี้ยงตนเองด้วยการหาปลาขายมีรายได้วันละ 30-70 บาท จะขึ้นฝั่งไปอยู่กับหลานที่ อ.ท่ายาง ช่วงน้ำหลากเชี่ยวเท่านั้น หากนับอายุตามหลักฐานทะเบียนราษฎร์มีอายุ 86 ปี แต่ปู่เย็นเล่าให้ฟังว่าเกิดปีฉลู ขณะนี้อายุ 105ปี ซึ่งจากการสอบถามผู้สูงอายุกว่า 80 ปีใน อ.เมือง ยืนยันว่าเมื่อยังเด็กเห็นปู่เย็นเป็นหนุ่มใหญ่แล้ว

ปู่เย็น 
เป็นคนเกรงใจคนอื่นอย่างมาก ไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากใครง่ายๆ ไม่ยอมให้ใครทำอะไรให้ฟรีๆ โดยบอกว่า ตั้งแต่ภรรยาเสียชีวิตก็อยู่บนฝั่งไม่ได้ ต้องไปใช้ชีวิตอยู่ในเรือ และการหาปลาก็ทำให้ลืมความคิดถึงภรรยาไปได้บ้าง แต่ก็ยืนยันว่าชีวิตตนเองไม่ได้ลำบากอะไร ทั้งนี้ นายเย็นจะปักและกู้อวนวันละ 2 รอบ คือช่วง 21.00 น. และ 04.00 น. จากนั้นในตอนเช้าจะนำปลาไปขายที่ตลาด

          รายการคนค้นฅน เป็นรายการแรกที่ทำให้ได้รู้จักกับชายชราผู้นี้ นายเย็น แก้วมณี หรือ ปู่เย็น ชายชราผู้หลงยุค ผู้มีร่างกายแข็งแรงและเต็มเปี่ยมไปด้วยหัวใจที่แข็งแกร่ง ที่ไม่ยอมจำนนต่อวัยและสังขารอันร่วงโรย ในเรือลำเล็กๆ ลำหนึ่งขนาดกว้าง 1 เมตร ยาว 5 เมตร ที่เป็นทั้งเรือนงานแห่งชีวิตกับการยึดอาชีพวางอวนหาปลาในแม่น้ำเพชรบุรี อีกรวมถึงยังเป็นเรือนนอนที่กินอยู่และอาศัยพักพิงเพียงอยู่ตัวคนเดียวมาหลายสิบปี หลังจากที่ภรรยาและญาติสนิทมิตรสหายค่อยๆ ล้มหายตายจากไปตามอายุขัยของคนปกติที่มีอายุอาจไม่เกิน 80 ปี

          ทุกเช้าที่บริเวณตลาดสดแถวสะพานลำใย ชายชราหลังงองุ้มคนหนึ่งจะปรากฏตัวขึ้นมาจากบันไดเชิงสะพาน พร้อมกับกะละมังหนึ่งใบใส่ปลาน้ำจืดประมาณ 10-20 ตัว มานั่งขายให้กับผู้คนที่มาจับจ่ายใช้สอยในตลาด .. ไม่มีตราชั่ง .. ไม่มีถุงใส่ .. ไม่มีป้ายตั้งราคา .. ใครอยากซื้อเท่าไหร่ก็จ่ายมาเท่านั้น และ เมื่อปลาหมด การนั่งกินน้ำเต้าหู้ที่ร้านใกล้สะพานก็จะเป็นมื้อเช้าของปู่ทุกวันก่อนกลับลงเรือที่จอดอยู่ใต้สะพาน

          เหตุการณ์เช่นนี้ เกิดขึ้นเป็นประจำทุกวัน ตั้งแต่ในช่วงเดือนพฤศจิกายนหลังฤดูฝนไปจนถึงเดือนมิถุนายนก่อนการกลับมาของฤดูฝนอีกครั้ง และเมื่อถึงฤดูฝนปู่เย็นจะกลับขึ้นฝั่ง ไปพักอาศัยอยู่กับหลานพร้อมกับการยกเรือขึ้นไปอยู่บนฝั่งที่ อ.ท่ายาง เนื่องจากน้ำในแม่น้ำหลากเกินไปที่จะหาปลาและอยู่อาศัยได้ และ เมื่อหมดฝนการเฝ้ารอคอยของปู่เย็นที่จะได้กลับลงแม่น้ำอีกครั้งก็จะเกิดขึ้น เรือลำหนึ่งจะล่องจากท่ายางมาที่เมืองเพชรเป็นระยะทางกว่า 20 กิโลเมตร เพื่อกลับสู่วิถีชีวิตเดิมๆ ภาพของวัฎจักรแห่งชีวิตและการงานของปู่เย็นก็จะดำเนินไปอีกครั้ง กับชีวิตและความผูกพันกับแม่น้ำเพชรบุรี แม่น้ำสายแห่งชีวิตที่ปู่เย็นทำมาหากินหล่อเลี้ยงตัวเองมาจนวัยลุล่วงมาจนถึงในวันนี้

ข้อมูลประวัติ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ (พระเชษฐาธิราช)

สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ (พระเชษฐาธิราช)

พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจ

สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒  เป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ  ครองราชย์ พ.ศ. ๒๐๓๔  ถึง พ.ศ. ๒๐๗๒  

ใน พ.ศ. ๒๐๕๔ โปรตุเกสได้เข้ามาติดต่อกับกรุงศรีอยุธยา นับเป็นชาวตะวันตกชาติแรกที่เข้ามาเจริญสัมพันธไมตรีกับไทย ไทยจึงเริ่มเรียนรู้ศิลปวิทยาของชาวตะวันตกโดยเฉพาะด้านการทหาร  ทำให้สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒  ทรงพระราชนิพนธ์ตำราพิชัย-สงครามของไทยได้เป็นครั้งแรก  นอกจากนี้ทรงให้ทำสารบัญชี  คือ  การตรวจสอบจัดทำบัญชีไพร่พลทั้งราชอาณาจักร นับเป็นการสำรวจสำมะโนครัวครั้งแรก  โดยทรงตั้งกรมสุรัสวดีให้มีหน้าที่สำรวจและคุมบัญชีไพร่พล

ทางด้านศาสนา

              สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ ทรงสร้างวัดพระศรีสรรเพชญ์ไว้ในเขตพระราชฐานและให้หล่อ พระศรีสรรเพชญ์  สูง 8 วา  หุ้มทองคำ ไว้ในพระมหาวิหารของวัดด้วย  ในรัชสมัยนี้อยุธยาและล้านนายังเป็นคู่สงครามกันเช่นเดิมเนื่องจากกษัตริย์ล้านนา  คือ  พระเมืองแก้ว  (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๐๓๘ – ๒๐๖๘)  พยายามขยายอาณาเขตลงมาทางใต้ จนถึง พ.ศ. ๒๐๖๕  มีการตกลงเป็นไมตรีกัน สงครามจึงสิ้นสุดลง